โรคเอดส์ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) และไม่ได้เข้าสู่กระบวนการรักษา อันเนื่องมาจาก ผู้ติดเชื้อไม่เคยตรวจเอชไอวีเลย หรือไม่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อ จนกินระยะเวลายาวนานกว่า 8-10 ปี ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันเม็ดเลือดขาวในร่างกายลดจำนวนลง จนไม่อาจต้านทานเชื้อได้ เกิดโรคแทรกซ้อน หรือโรคฉวยโอกาสขึ้น และเจ็บป่วยได้ในที่สุด
“เข้าใจใหม่ ติดเอชไอวี ไม่ได้แปลว่าเป็นเอดส์”
ข้อสำคัญ หากคุณมีความเสี่ยง ควรได้รับการตรวจคัดกรองเพื่อหาเชื้อไวรัสเอชไอวีโดยเร็ว เพราะหากพบเชื้อ คุณก็สามารถทำการรักษาได้ทันที ไม่ต้องรอให้มีอาการเจ็บป่วย และไม่สามารถแพร่เชื้อให้คนที่คุณรักได้ ป้องกันไม่ให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะโรคเอดส์ได้
สาเหตุของการติดเชื้อเอชไอวี
Table of Contents
ก่อนอื่นใด ต้องรู้ว่าเราจะสามารถติดเชื้อเอชไอวีได้จากช่องทางไหนบ้าง ดังช่องทางต่อไปนี้
- เพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน ไม่สวมถุงยางอนามัย
- ใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้มีเชื้อเอชไอวี
- ติดต่อจากแม่สู่ลูก ซึ่งกรณีนี้ แทบจะไม่พบแล้วในปัจจุบันเนื่องจากแต่ละครอบครัวก่อนตัดสินใจมีบุตร จะทำการวางแผนครอบครัวและปรึกษาแพทย์ล่วงหน้า แพทย์จะทำการตรวจร่างกายรวมไปถึงตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสเอชไอวีทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดกับลูกน้อยในครรภ์


จะรู้ได้อย่างไรว่าติดเอชไอวี
วิธีที่ง่าย และให้คำตอบที่ชัดเจนที่สุด คือ การตรวจเอชไอวี เพราะอาการอื่นใดที่เกิดขึ้น อาจมีสาเหตุมาจากโรคอื่นได้ โดยวิธีที่จะสามารถตรวจหาเชื้อเอชไอวีได้นั้น ปัจจุบัน มีอยู่ 4 วิธีที่เป็นที่นิยมในการใช้ตรวจเลือด ดังนี้
วิธีตรวจ HIV | ตรวจได้กี่วันหลังเสี่ยง? |
---|---|
NAT | 5-7 |
Anti-HIV (4th Generation) | 14 |
ชุดตรวจคัดกรองเอชไอวีด้วยตัวเอง | 21 |
Anti-HIV (3th Generation) | 30 |
ระดับอาการหลังติดเอชไอวี
ระยะเฉียบพลัน
- ระยะนี้เกิดขึ้นหลังจากได้รับเชื้อ HIV มาแล้วประมาณ 14-30 วัน จำนวนของเชื้อไวรัสจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสอดคล้องกับจำนวนของเม็ดเลือดขาวที่ลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ผู้ติดเชื้ออาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยอ่อนเพลียตามร่างกาย เจ็บคอ มีผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโต คลื่นไส้ ถ่ายเหลว ซึ่งระยะนี้มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง เพราะมีโอกาสส่งต่อเชื้อให้กับคู่นอนได้
ระยะสงบทางคลินิก
- ระยะนี้ถือเป็นภัยเงียบ เพราะระยะสงบ หมายถึง ร่างกายไม่แสดงอาการเจ็บป่วยใด ๆ ให้เห็นเลยกว่า 10 ปีหรืออาจมีอาการแบบเฉียบพลันเพียงเล็กน้อยแล้วหายไป ไวรัสเอชไอวีจะเริ่มเพิ่มจำนวนและมุ่งตรงเข้าไปทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เราอ่อนแอลง
ระยะโรคเอดส์
- ระยะนี้ภูมิคุ้นกันของผู้ติดเชื้อถูกทำลายลงอย่างรุนแรง ซึ่งมีความเสี่ยงอย่างมากที่จะเจ็บป่วยจากโรคฉวยโอกาสที่พบมากที่สุด คือ โรคปอดอักเสบ วัณโรค มีอาการเหนื่อยหอบง่าย อ่อนเพลียไม่มีเรี่ยวแรง ร่างกายซูบผอมลงเนื่องจากน้ำหนักที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ท้องเสียบ่อย เป็นไข้สูงบ่อย มีเหงื่อออกตอนกลางคืน มีผื่นคันต่างร่างกาย เกิดฝ้าขาวในช่องปาก ต่อมน้ำเหลืองที่คอ รักแร้ หรือขาหนีบบวมโต เป็นต้น
แนวทางการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี
ปัจจุบัน ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าแต่ก่อน ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรงได้ด้วยการทานยาต้านไวรัสเอชไอวี หรือยาต้านรีโทรไวรัส (ARV) ซึ่งยาชนิดนี้จะเข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโตของเจ้าไวรัสเอชไอวีไม่ให้เพิ่มจำนวนมาทำร้ายร่างกายของเราได้ ทำให้ผู้ติดเชื้อสามารถใช้ชีวิตได้ปกติ อีกทั้งยังไม่แพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นด้วย


สรุปว่า โรคเอดส์นั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หลายคนเข้าใจ ดังที่ได้กล่าวไปเบื้องต้น หากคุณได้รับการตรวจเลือดที่รวดเร็ว มีข้อดี และประโยชน์หลายด้าน ทั้งช่วยป้องกันตัวเองให้ปลอดจากเชื้อได้ตลอดไป ปกป้องคนที่คุณรักไม่ให้เสี่ยงต่อเชื้อ หรือแม้แต่กระทั่งการเข้าสู่กระบวนการรักษาที่รวดเร็ว การทานยาอย่างเคร่งครัดจำทำให้คุณมีสุขภาพที่ดี ใช้ชีวิต เรียน ทำงาน หรือมีครอบครัวได้อย่างมีความสุขครับ