ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) เป็นการอักเสบของตับซึ่งเกิดจากไวรัสชนิดบี โดยเชื้อไวรัสจะมุ่งเข้าสู่เซลล์ตับและก่อให้เกิดการอักเสบขึ้น ในบางกรณีเชื้ออาจจะอยู่นิ่งเป็นปีๆ โดยผู้ที่มีเชื้อไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้ออยู่ในร่างกาย หากเป็นแล้วได้รับการรักษา พบว่ากว่าร้อยละ 90 หายเป็นปกติ แต่หากปล่อยไว้ไม่รีบรักษา อาการจะเรื้อรัง เกิดเป็นพังผืด ตับแข็ง และมะเร็งตับได้ในที่สุด ไวรัสตับอักเสบบี แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ
- ระยะเฉียบพลัน
- ระยะเรื้อรัง
อาการของไวรัสตับอักเสบบี
ผู้ป่วยโรคนี้มักแสดงอาการออกมาหลังจากติดเชื้อไปแล้วประมาณ 1-3 เดือน โดยผู้ป่วยจะมีอาการ ดังนี้
- มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน
- มีอาการอ่อนแรงและปวดตามข้อ
- เบื่ออาหาร
- ตาและผิวมีสีเหลือง
- ปวดบริเวณช่องท้อง
- ปัสสาวะมีสีเข้ม


ไวรัสตับอักเสบบีติดต่อกันได้อย่างไร ?
- เพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อโดยไม่ได้สวมถุงยาง
- ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
- ใช้เข็มสักร่วมกัน
- ใช้แปรงสีฟัน มีดโกน ที่ตัดเล็บ ร่วมกัน
- แม่ที่มีเชื้อสามารถติดต่อไปยังลูกได้ขณะคลอด
- สัมผัสกับเลือด สารคัดหลั่ง โดยผ่านเข้าทางบาดแผล
การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบบี
ในปัจจุบันการตรวจวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบบี สามารถทำได้โดยการเจาะเลือด เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg) ตรวจการทำงานของตับ และยังสามารถตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี ได้อีกด้วย ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคตัวอักเสบเรื้อรัง ต้องการติดตามการดำเนินของโรค เช่น ภาวะพังผืดในตับและการอักเสบของเซลล์ตับ สามารถทำได้โดยการตัดชิ้นเนื้อจากตับไปตรวจ
ไวรัสตับอักเสบบีป้องกันอย่างไร ?
- สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
- ไม่ควรใช้อุปกรณ์ร่วมกับผู้อื่น
- ใส่ถุงมือป้องกันทุกครั้ง หากต้องสัมผัสเลือด สารคัดหลั่ง ของผู้ป่วย
- รักษาความสะอาดของสิ่งของรอบตัว


การรักษาไวรัสตับอักเสบบี
การรักษาไวรัสตับอักเสบบี คือ การยับยั้งการทำลายเซลล์ตับ ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดตามมา เช่น ตับแข็ง ภาวะตับวาย และมะเร็งตับ ยาที่ใช้รักษาในปัจจุบันมีทั้งชนิดฉีดและยารับประทาน แพทย์จะพิจารณาจาก ระดับเอ็นไซม์ตับ ปริมาณเชื้อไวรัส และการตรวจชิ้นเนื้อตับ เพื่อประเมินระยะของโรคโดยแพทย์จะเป็นผู้อธิบายให้ผู้ป่วยทราบถึงประโยชน์และข้อจำกัดของยาแต่ละชนิด เพื่อให้ผู้ป่วยมีโอกาสร่วมในการตัดสินใจเลือกชนิดการรักษา
อ่านบทความอื่นๆ เพิ่มเติม
ไวรัสตับอักเสบบี หากเป็นแล้วตับจะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ หากปล่อยไว้จนอาการเรื้อรัง มีโอกาสที่จะเป็นตับแข็งและมะเร็งตับได้ ดังนั้นการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลย เพราะช่วยป้องกันไวรัสตับอักเสบก่อนลุกลามและรุนแรง