“ผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีไม่จำเป็นจะต้องป่วยเป็นโรคเอดส์เสมอไป”
โรคเอดส์ เกิดจากเชื้อไวรัสเอชไอวีที่เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย หากผู้ที่มีเชื้อไม่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี จะก่อให้เกิดโรคร้ายแรงแทรกซ้อน ทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุด วันนี้ เรามีข้อแนะนำดี ๆ ในการปฏิบัติตนของผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี ช่วยทำให้ไม่เจ็บป่วยง่าย และสามารถใช้ชีวิต เรียน หรือทำงานได้เหมือนคนปกติทั่วไป


เริ่มรักษาทันทีเมื่อตรวจพบเชื้อเอชไอวี
Table of Contents
หากรู้ตัวว่ามีเชื้อเอชไอวี หลังจากตรวจ HIV พบและยืนยันผลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ควรเริ่มรับการรักษาจากแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อที่จะได้รับประทานยาต้านไวรัสทันที และผู้มีเชื้อควรทานยาอย่างตรงต่อเวลาเสมอทุกวัน อย่าให้ขาด เพราะยาต้านไวรัสเอชไอวี มีข้อดีที่จะช่วยชะลอการแบ่งตัวของเชื้อ และปกป้องระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย พร้อมทั้งลดโอกาสในการแพร่เชื้อไปให้กับคนอื่นได้อีกด้วย
ติดตามผลการรักษาและไปตามแพทย์นัดทุกครั้ง
แพทย์ผู้รักษาจะช่วยประเมินอาการ และติดตามผลการรักษา พร้อมกับเฝ้าระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดได้จากการทานยาต้านไวรัสเอชไอวีของผู้ติดเชื้อ โดยจะมีการตรวจเลือดเพื่อดูปริมาณเชื้อเอชไอวีที่มีในร่างกายเป็นประจำ วินิจฉัยการตอบสนองต่อการรักษาเอชไอวี และประเมินภาวะที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาส
อ่านบทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ดูแลโภชนาการและสุขภาพของตัวเองเป็นอย่างดี
เลือกรับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ เน้นผักผลไม้ พืชตระกูลถั่ว ธัญพืชที่ไม่ขัดสี โปรตีน และอาหารที่มีไขมันต่ำ หลีกเลี่ยงของมัน ของทอด ของหวาน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ การใช้สารเสพติด เพราะการดูแลตัวเองด้วยโภชนาการที่ดีจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ติดเชื้อแข็งแรง ส่งผลดีต่อการรักษา ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อนและผลข้างเคียงจากการทานยาต้านไวรัสเอชไอวี รวมทั้งหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกาย จะช่วยกระตุ้นให้ระบบการเผาผลาญอาหารของผู้ติดเชื้อเอชไอวี ทำงานได้ดียิ่งขึ้น สุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บป่วยได้ง่าย


ดูแลสภาพจิตใจของตนเองให้ดี
ผู้ติดเชื้อเอชไอวีแรกเริ่มที่รู้ตัวว่ามีเชื้อจะรู้สึกเครียด มีภาวะซึมเศร้าและรู้สึกวิตกกังวล อาจจะเริ่มปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต จิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือองค์กรที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเอชไอวีและโรคเอดส์ รวมทั้งดูแลสุขภาพจิตได้โดยการทำจิตใจให้สงบ การนั่งสมาธิ ทำให้รู้สึกสงบ สบาย หรือเลือกทำงานอดิเรกที่ตัวเองชอบจนลืมเรื่องกังวลใจไปได้ และเมื่อทำการรักษาไปสักพักแล้ว ได้ศึกษาความรู้เกี่ยวกับโรคที่ตัวเองเป็นมากขึ้น ก็จะทำให้คลายความกังวลลงไปได้อย่างมาก
ไม่รับเชื้อเพิ่ม และไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น
ผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อย และควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ เพราะถึงแม้ว่าจะได้รับการรักษาจนไม่สามารถแพร่เชื้อให้ใครได้ หรืออยู่ในสถานะไม่เจอเท่ากับไม่แพร่ (U=U) แล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อกามโรค หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้หากไม่ป้องกัน และควรแนะนำให้แฟนหรือคู่นอนของตนไปตรวจเอชไอวีด้วย หากมีเชื้อก็จะได้รับการรักษาไปพร้อม ๆ กัน หรืออาจเลือกปรึกษาแพทย์ เรื่องการทานยาเพร็พ (PrEP) ป้องกันเอชไอวีในคู่ที่มีผลเลือดต่างได้เพิ่มเติม